1. โรคผิวหนัง – โรคเล็บขบ (Ingrown Nail) คืออะไร
เล็บขบ หรือ เล็บคุด (Ingrown Nail) คือ โรคเล็บชนิดหนึ่งซึ่งใช้อธิบายถึงภาวะที่เล็บงอกหรือทิ่มเข้าไปที่บริเวณผิวหนังหรือเนื้อใต้เล็บหรือบริเวณผิวหนังปลายเล็บ มีผลทำให้เกิด
- ความเจ็บปวด
- การบวม
- แดง
- เป็นหนอง
- บางครั้งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้
เล็บขบสามารถเกิดขึ้นกับนิ้วได้ทุกนิ้วทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าซึ่งจะพบว่าเกิดได้บ่อยกับนิ้วเท้าโดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้า แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจนำมาซึ่งการติดเชื้อได้
2. โรคเล็บขบ สาเหตุเกิดจาก อะไรได้บ้าง
โรคเล็บขบ เกิดจากปัจจัยหลายประการสาเหตุของเล็บขบที่พบได้บ่อยมีมากมายหลายอย่างมากที่ทำให้เกิด โรคเล็บขบ ขึ้นกับคุณ ไม่ว่าจะเป็น
2.1 เล็บผิดรูป
- มักเป็นตั้งแต่กำเนิด
- มักจะเป็นเล็บที่กว้างกว่าพื้นเล็บ
- ขอบเล็บมีลักษณะโค้งจิกเนื้อมากกว่าปกติ
- การมีเล็บเท้าที่กว้างกว่าปกติหรือมีรูปร่างโค้งผิดปกติ
- รวมถึงความบกพร่องทางพันธุกรรม
2.2 อุบัติเหตุ เช่น
- ของหล่นใส่นิ้วเท้า
- เดินเตะของแข็ง เช่นการเดินเตะเก้าอี้ เดินชนโต๊ะ
- มีสิ่งของที่มีน้ำหนักมากตกใส่นิ้วมือหรือนิ้วเท้า
2.3 ใส่รองเท้าที่ไม่พอดี
- ใส่รองเท้าหน้าแคบเกินไป (ทรงรองเท้าไม่เหมาะกับรูปเท้าของเรา)
- ใส่รองเท้าที่สั้นเกินไป (เลือกรองเท้าผิดเบอร์ หรือเท้าโตขึ้นในเด็ก)
- ผู้ที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง
- รองเท้าประเภทที่บีบเท้าของเรามากเกินไป
- การใส่ถุงเท้าหรือสวมรองเท้าแน่นจนเกินไป
- จนไปกดเล็บเท้าหรือทำให้นิ้วเท้าเบียดซ้อนกัน
2.4 ตัดเล็บผิดวิธี
อันนี้น่าจะเป็นสาเหตุหลักเลยที่ใครหลายๆคนเกิดปัญหา ทำให้เกิดเป็นโรคเล็บขบได้ เช่น
- การตัดเล็บเป็นมุมแหลมชิดเนื้อ
- การตัดเล็บที่สั้นเกินไป
- ตัดเล็บแบบชนิดแนบเนื้อมากเกินไป
- การปล่อยเล็บยาวเกินไป
2.5 การเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่ทำให้กระดูกนิ้วทำงานหนัก เช่น
- ฟุตบอล
- บาสเกตบอล
- บัลเล่ต์
2.6 มีเชื้อราขึ้นเล็บ
- ทำให้เล็บหนา
- โค้งมากกว่าปกติ
2.7 การได้รับวิตามินเอมากเกินไป ก็สามารถทำให้เกิดเล็บขบได้เช่นกัน
3. อาการของเล็บขบ เป็นอย่างไรบ้าง
ผู้ป่วยที่เป็นเล็บขบมักรู้สึกเจ็บปวดบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้าที่มีอาการ ซึ่งอาจรู้สึกเจ็บที่ด้านใดด้านหนึ่งของเล็บหรือเจ็บทั้งสองด้าน ในบางครั้งอาจพบว่ามีภาวะบวมแดงบริเวณรอบเล็บร่วมด้วย หากมีอาการรุนแรงจะทำให้รู้สึกเจ็บเวลาเดิน อาจมีเลือดออกหรือเป็นหนองหรือมีการติดเชื้อของเนื้อเยื่อที่นิ้ว รวมถึงอาจพบอาการร่วมอื่นๆ ดังนี้
3.1 เล็บขบหนอง
- ผู้ป่วยสามารถมองเห็นก้อนหนอง
- หรือการก่อตัวของของเหลวบริเวณรอบๆ ที่เป็นเล็บขบได้
- ซึ่งแสดงถึงภาวะการติดเชื้อของเล็บ
3.2 เล็บขบอักเสบ
- มีอาการบวมแดงรอบๆ เล็บมือหรือเล็บเท้า
- ผู้ป่วยมักรู้สึกเจ็บปวดบริเวณเล็บขบทั้งสองด้าน
- หรือด้านใดด้านหนึ่ง
3.3 เล็บขบเหม็น
- เมื่อเป็นเล็บขบนานๆ สามารเกิดการติดเชื้อได้
- บริเวณเนื้อมุมเล็บ
- เนื่องจากเล็บขบจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเล็บ
- ทำให้เชื้อต่างๆ เข้าไปอาศัย
- และทำให้เกิดกลิ่นได้
3.4 เล็บขบมีเนื้องอก
- เป็นลักษณะของเนื้อที่ปูดออกมาข้างเล็บ
- ซึ่งเกิดจากการอักเสบ
- ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
4. การวินิจฉัยเล็บขบ
แพทย์สามารถวินัจฉัยเล็บขบได้จากการตรวจดูเล็บเท้าและผิวรอบ ๆ เล็บเท้าที่มีอาการ และการตรวจร่างกายบริเวณเท้า แต่ถ้าหากนิ้วเท้าดูเหมือนมีการติดเชื้อ อาจต้องทำการเอกซเรย์เพื่อดูว่าเล็บเท้าทิ่มลงไปลึกเพียงใด นอกจากนั้นการเอกซเรย์ยังช่วยในการวินิจฉัยเพิ่มเติมหากการเกิดเล็บขบมีลักษณะดังต่อไปนี้
- กรณีที่เล็บขบมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ
- มีประวัติของการติดเชื้อเรื้อรัง
- อาการเจ็บมีความรุนแรงขึ้น
5. การรักษาเล็บขบ
เล็บขบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อสามารถรักษาได้เองตามปกติ อย่างไรก็ตาม หากว่าเล็บเท้าทิ่มลงไปที่ผิวหนัง หรือมีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีอาการบวมแดงหรือเล็บมีหนอง ก็ควรทำการรักษาทางการแพทย์
5.1 การรักษาเล็บขบด้วยตัวเองเบื้องต้น ทำได้โดย
- แช่เท้าลงในน้ำอุ่นประมาน 15-20 นาที 3-4 ครั้ง ต่อวัน
- ทำให้ผิวแยกออกจากขอบของเล็บเท้าโดยใช้สำลีชุบน้ำมันมะกอก
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวดในกรณีที่มีอาการเจ็บปวด
- การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น
- ยาโพลิมิกซิน (Polymyxins) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ครีมสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
หากการรักษาด้วยตัวเองเบื้องต้นไม่ทำให้อาการดีขึ้นหรือเกิดการติดเชื้อขึ้น อาจจำเป็นต้องทำการรักษาทางการแพทย์หรือผ่าตัด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยวิธีหลัก ๆ ได้แก่
5.2 การรักษาทางการแพทย์หรือผ่าตัด
- การเอาเล็บเท้าออกบางส่วน (Partial Nail Avulsion)
- โดยเอาชิ้นเล็บที่แทงลงไปในผิวหนังออก
- ในขั้นตอนนี้แพทย์จะต้องใช้ยาชาที่นิ้วเท้า
- ก่อนการตัดแต่งหรือเอาเล็บออก
- การเอาเล็บเท้าออกทั้งหมด (Total Nail Avulsion)
- วิธีนี้จะใช้ในกรณีของเล็บขบที่มีเล็บหนา
- และกดลงไปในผิวหนัง
- โดยขั้นตอนการเอาเล็บออกทั้งเล็บนี้เรียกว่า Matrixectomy
- การยกเล็บขึ้น (Lifting the Nail)
- สำหรับในรายที่เป็นน้อยแค่เพียงบวมแดง
- ไม่มีหนอง
- ไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัด
- ในวิธีนี้แพทย์จะใช้ไหมหรือสำลียกขอบเล็บให้พ้นขอบของผิวหนัง
- ไม่ให้เล็บงอกเข้าไปในเนื้อ
5.3 ข้อปฏิบัติหลังการรักษาทางการแพทย์หรือผ่าตัด
หลังจากการผ่าตัดหรือการเอาเล็บออกนั้น แพทย์จะพันผ้าพันแผลเอาไว้เพื่อซับเลือดที่ยังคงไหลซึมและป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนั้น ควรพักเท้า ไม่ควรขยับหรือเคลื่อนไหวมากเกินไป และควรยกขาให้สูงไว้ใน 1-2 วันแรกหลังผ่าตัด และเพื่อลดความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้น อาจใช้ยาแก้ปวด เช่น
- ยาพาราเซตามอล
- ไอบูโพรเฟน
- ควรสวมใส่รองเท้าที่มีความนิ่ม
- เผยส่วนนิ้วเท้าในช่วงวันแรก ๆ หลังผ่าตัด
นอกจากนั้น แพทย์อาจให้ทาหรือรับประทานยาปฏิชีวนะและยาลดการอักเสบติดเชื้อ
6. ภาวะแทรกซ้อนของเล็บขบ เกิดจากอะไรได้บ้าง
6.1 หากปล่อยให้เป็นเล็บขบที่มีการติดเชื้อโดยที่ไม่ทำการรักษา อาจทำให้เกิด
- การติดเชื้อในกระดูกนิ้วเท้าได้
- การติดเชื้อที่เล็บเท้าสามารถทำให้เป็นแผลอักเสบพุพองที่เท้า
- ขาดเลือดหมุนเวียนบริเวณที่ติดเชื้อ
- รวมไปถึงอาจเกิดการตายของเนื้อเยื่อบริเวณที่มีการติดเชื้อ
6.2 การติดเชื้อที่เท้าเป็นเรื่องที่มีความรุนแรงหากเป็นเบาหวาน ซึ่งการเป็นเล็บขบอาจกลายไปเป็นการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วเนื่องจาก
- ผู้ที่เป็นเบาหวานจะขาดการไหลเวียนโลหิตมายังบริเวณนิ้วเท้า
- มีปัญหาชาบริเวณเท้า
- จึงควรพบแพทย์โดยเร็วหากเป็นเล็บขบที่มีการติดเชื้อ
6.3 หากมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับเล็บขบ อาจทำให้สามารถเกิดเล็บขบขึ้นได้บ่อย ๆ หรือสามารถเกิดขึ้นหลาย ๆ นิ้วพร้อมกันในหนึ่งครั้งได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต เช่น
- มีความเจ็บปวด
- การติดเชื้อ
- อาการเจ็บปวดอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับเท้า
- ที่ต้องรับการรักษาหรือการผ่าตัดหลายประการ
7. อาการที่บ่งบอก ว่าคุณควรพบแพทย์ เพื่อรักษาเล็บขบ
Dsecret clinic คลินิก ให้บริการดูแลรักษาโรคเล็บขบหายขาดมามากกว่า 10,000 เดส หากคุณพบว่าเล็บเท้าของคุณทิ่มลงไปที่ผิวหนังหรือมีสัญญาณของการติดเชื้อต่างๆ เช่น
- มีอาการบวมแดง
- มีหนอง
ควรรับการรักษาทางการแพทย์อย่างถูกต้อง ไม่ควรทำการรักษาเล็บขบด้วยตนเองเนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงได้ Dsecret clinic คลินิก เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเฉพาะทาง จบ ปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ที่ลงมือดูแลคนไข้เองทุกเคสด้วยระดับมืออาชีพ การันตีด้วยประสบการณ์การรักษามากกว่า 10,000 เคส พร้อมผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความประทับใจของคนไข้จริงจนต้องบอกต่อ เรามี
- แพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังโดยเฉพาะ
- ไว้พร้อมดูแลและให้คำปรึกษาคุณในทุกๆ เรื่อง
- เพราะเราใส่ใจในความรู้สึกและปัญหาของคุณ
- เรารักษาด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของการรักษาเล็บขบ
- เน้นที่การรักษาให้หายขาด
เราพร้อมให้บริการที่ยอดเยี่ยม มีทีมงานคอยบริการคุณทุกคนอย่างดี ใส่ใจคนไข้ทุกคนไม่ว่าปัญหาของคุณจะเล็กมากแค่ไหนแต่นั้นคือเรื่องสำคัญของเราเสมอ
ประสบการณ์ มากกว่า 15 ปีของ พญ. มริญญา ผ่องผุดพันธ์
ประสบการณ์การทำงาน
- อาจารย์แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง
- อาจารย์แพทย์ผิวหนัง โรงพบาบาลรามาธิบดี
- แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช
- แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลกรุงเทพ
ผ่านการศึกษาจาก ( Education )
- Hair Restoration Training, Korea (2015)
- Thai Board of Dermatology, Ramathibodi Hospital (2013)
- Board of Dematopathology, Boston University, USA (2009)
- Master of Science in Dermatology, Boston University, USA (2006)
- Doctor of Medicine, Mahidol University (2001)
- Nail surgery training
- Laser expert training
- Hair expert training
- Boton university usa
ที่คนค้นหาเกี่ยวกับเนื้อหานี้ :
- https://xn--42cg6cbo8ah8ad0b5d6a0d6g8f com/รีวิวรักษา/รักษาเล็บขบ-จันทบุรี/
- https://xn--42cg6cbo8ah8ad0b5d6a0d6g8f com/รีวิวรักษา/หมอรักษาเล็บขบ-เชียงใหม่/
- https://xn--42cg6cbo8ah8ad0b5d6a0d6g8f com/491/?=เล็บขบ-สาเหตุเกิดจากอะไร-ที่ใครเป็นต้องรีบหาวิธีรักษา
- https://xn--42cg6cbo8ah8ad0b5d6a0d6g8f com/491/?=เล็บขบ-สาเหตุเกิดจากอะไร-ที่ใครเป็นต้องรีบหาวิธีรักษา/
- https://xn--42cg6cbo8ah8ad0b5d6a0d6g8f com/รีวิวรักษา/เล็บขบ-สมุทรปราการ/