ผิวเป็น “กระ” อันตรายหรือไม่

ลักษณะของกระ จะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาล ซึ่งบางคนก็มองว่าถ้ามีกระเล็กๆ บางๆ อยู่บนใบหน้า สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ และทุกวัย มีบางคนก็ไม่ชอบ แต่บางคนกลับออกมาดูดี ถ้าพูดถึงอันตรายแล้ว กระ ไม่เป็นอันตรายในระยะยาว แต่ทำให้เกิดความรำคาณ ทำให้รู้สึกหน้าหรือผิวไม่ขาวใส เรียบเนียน  แต่หากมีกระเกิดขึ้นใหม่มากในระยะเวลาสั้นๆ และหากเป็นกระเนื้อที่มีคล้ำมาก จะแยกอาการยากจากมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นควรเข้ารับคำปรึกษาและรักษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุดฃ

จุดเริ่มต้นของกระ

หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นแค่แสงแดดเท่านั้นที่เป็นปัจจัยในการเกิดของ กระ แต่ในความเป็นจริงยังมีอีกหลายสาเหตุที่คอยกระตุ้นให้กระเกิดขึ้นได้

• แสงแดด
• ยาคุมกำเนิดแบบทาน
• พันธุกรรม

ในรายที่ต้องการคุมกำเนิดก็อาจจะหันมาเลือกใช้ยาคุมกำเนิดแบบแปะปลาสเตอร์แทนควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมอีก

ปัจจัยและผู้ที่เสี่ยงที่จะเกิดกระ

ในความเป็นจริง กระ เกิดได้ในทุกเพศทุกวัย แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ มาเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดกระได้ง่าย หรือมากกว่าปกติ ดังนี้

• ส่วนใหญ่พบกระในผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย ร้อยละ 80 เนื่องจากผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเพศหญิงสูงขึ้นในขณะที่ตั้งครรภ์ หรือการกินยาคุมกำเนิดที่มี เอสโตรเจน หรือโพรเจสเทอโรน
• พันธุกรรม ถ้าคนในครอบครัวของเรามีกระ โอกาสที่เราจะมีกระก็ย่อมสูงกว่าคนทั่วไป
• เชื้อชาติ เราจะพบกระมากในชาวยุโรป มากกว่าชาวเอเชียหรือ ชนชาติอื่น
• ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง หรือถูกแดดบ่อยๆ เพราะแสงแดด จะทำให้เกิดกระ แล้วยังเป็นตัวกระตุ้นให้กระมีขนาดใหญ่ และมีสีคล้ำขึ้นด้วย

จากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น  ทำให้เราไม่สามารถรักษากระให้หายขาดได้ 100%  โดยเฉพาะพวกโฆษณาขายครีมลดกระลดฝ้าในอินเตอร์เน็ต ไม่ทำให้รักษากระให้หายขาดได้เลย  แต่เราสามารถทำให้กระจางลงได้ด้วยวิธีทางการแพทย์เท่านั้น  ดังนั้นเราจึงควรจะรักษากระกับแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้รักษาได้ผลออกมาดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

ประเภทของกระ

ลักษณะของกระก็ถูกแบ่งออกตามลักษณะของกระ ซึ่งมีเป็นหลายแบบ โดยเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันไป และการดูแลก็ต่างกันออกไปด้วย ดังนี้

• กระแดด มีลักษณะ เป็นจุด ๆ เล็กๆ สีน้ำตาล เกิดจากการโดนแสงแดดบ่อยๆ
• กระตื้น มีลักษณะ เป็นจุดสีน้ำตาล ขนาดเล็ก หากไม่โดนแดดจะจางลงได้
• กระลึก มีลักษณะ มีสีน้ำตาลอมเทา คล้ายๆกับฝ้า ซึ่งมักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม
• กระเนื้อ มีลักษณะ เป็นตุ่มนูน สีน้ำตาลหรือสีดำ มีทั้งผิวขรุขระและผิวเรียบ

ดังนั้น การรักษาและดูแลกระให้หายไป จึงควรเข้าปรึกษาและรักษากับแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ  เพื่อให้ผิวหน้าหรือผิวกายที่เป็นกระ มีผิวใสเรียบเนียน ไร้ริ้วรอย

การดูแลรักษากระ

ในการดูแลรักษากระนั้นสามารถรักษาอาการได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง เช่นการหลีกเลี่ยงแสงแดด กันใช้ยากันแดด แต่หากอาการไม่ดีขึ้นสามารถเข้ามาขอคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีวิธีที่หลากหลายกว่า เช่น

• กระแดด สามารถรักษาโดยใช้เลเซอร์
• กระตื้นรักษาโดยใช้ยาทา จี้ด้วยน้ำยา TCA หรือรักษาด้วยเลเซอร์
• กระลึก สามารถรักษาโดยใช้ยาทา หรือรักษาด้วยเลเซอร์
• กระเนื้อ สามารถรักษาโดยใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์

ทั้งนี้การรักษากระ ยังมีการดูแลเบื้องต้นและวิธีรักษาเฉพาะทางอีกมากมาย หากได้ทดลองรักษาด้วยตนเองแล้ว อาการไม่ดีขึ้น ริ้วรอยไม่ทุเลาลง จำเป็นต้องขอคำปรึกษากันแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีการรักษานี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และดุลยพินิจของแพทย์โดยทาง “Seven Plus Clinic และ D’Secret Clinic” ของเรามีแพทย์เฉพาะทางโดยเฉพะ ที่มีประสบการณ์มามากกว่า 15 ปีของ พญ.มริญญา ผ่องผุดพันธ์ แพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง ตจแพทย์ ผู้มีความเชี่ยวชาญจบการศึกษาจากสถาบันชื่อดังมากมายในระดับสากล

เรารอให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาทุกเรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับปัญหากระ ริ้วรอยและผิวของคุณ โดยทางเรามีเทคโนโลยีที่คอยช่วยวินิจฉัยอาการและผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิดที่คอยให้บริการคุณ

Dsecret clinic คลินิกรักษากระอันดับ 1

อย่างไรก็ตามถ้าคุณต้องการรักษาฝ้ากระ จุดด่างดำ ผลลัพธ์ชัดเจน คุณต้องเลือก Dsecret clinic คลินิก ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ดีที่สุด นำทีมบริหารโดย คุณกิ๊ก มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ และ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเฉพาะทาง จบ ปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ที่ลงมือดูแลคนไข้เองทุกเคสด้วยระดับมืออาชีพ การันตีด้วยประสบการณ์การรักษามากกว่า 10,000 เคส พร้อมผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความประทับใจของคนไข้จริงจนต้องบอกต่อ

• โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 14 ปี
• รักษาโดยแพทย์เฉพาะทางโดยตรง
• รักษาด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดและดีที่สุด
• เน้นที่การรักษาให้กระหายจริง
• รอยกระจางเร็วมากขึ้น
• ไม่มีผลข้างเคียง
• เห็นผลจริงแน่นอน

คุณหมอมือเบามากถึงมากที่สุด บ่งบอกถึงความใส่ใจในทุกขั้นตอนการรักษาที่ทางคลินิกมอบให้กับคนไข้ทุกเคส การันตีได้ว่า หน้าใส ฝ้าหายแน่นอน ” เพราะเราดูแลคุณลูกค้าทุกคน เสมือนคนในครอบครัว คุณลูกค้า ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด ”

ประสบการณ์ มากกว่า 15 ปีของ พญ. มริญญา ผ่องผุดพันธ์

ประสบการณ์การทำงาน

• อาจารย์แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง
• อาจารย์แพทย์ผิวหนัง โรงพบาบาลรามาธิบดี
• แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช
• แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลกรุงเทพ

ผ่านการศึกษาจาก ( Education )

• Hair Restoration Training, Korea (2015)
• Thai Board of Dermatology, Ramathibodi Hospital (2013)
• Board of Dematopathology, Boston University, USA (2009)
• Master of Science in Dermatology, Boston University, USA (2006)
• Doctor of Medicine, Mahidol University (2001)
• Nail surgery training
• Laser expert training
• Hair expert training
• Boton university usa

1. โรคผิวหนังกระ (freckles) คืออะไร

กระ คือ จุดสีน้ำตาลขนาดเล็กหรือจุดด่างดำ จะเป็นจุดเล็กๆ กลมๆ มีขอบชัดเจน กระจายอยู่ทั่วใบหน้า มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม เนื่องจากมีเม็ดสีที่เกินปกติติดอยู่ที่ชั้นบนสุดของผิวหนัง (หนังกำพร้า) ที่พบได้บนผิวหนัง ทั้งบนใบหน้า หรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และทุกเชื้อชาติ เช่น

• แก้ม
• หน้าผาก
• ลำคอ
• แขน
• ขา

เพราะฉะนั้น กระ กับ ฝ้า จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ ฝ้า จะมีลักษณะเป็นปื้นและมีขนาดใหญ่กว่า ขณะที่ กระ จะเป็นจุดกลมๆ เล็กๆ มีขอบชัดเจน มีสาเหตุหลักๆ มาจากพันธุกรรม ถ้าพ่อแม่เป็น ส่วนใหญ่ลูกจะเป็น โดยเฉพาะคนที่มีผิวขาว มักจะเป็นกระมากกว่าคนผิวสีเข้ม

2. สาเหตุ ที่ทำให้เป็น กระ เกิดจากอะไร

มาปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต เมลานินนี้จริงๆ แล้วผลิตมาทำหน้าที่คล้ายกับ

• แว่นกันแดดสำหรับผิวหนัง
• เพื่อสะท้อนและดูดซับรังสียูวีป้องกันความเสียหายต่อผิวหนังนั่นเอง
• ในบางคน melanocytes แพร่กระจายอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันทั่วร่างกาย
• ทำให้ผิวสีแทนสม่ำเสมอ
• แต่บางคน melanocytes มากระจุกรวมกัน
• ทำให้การกระจายเม็ดสีไม่สม่ำเสมอ
• ทำให้ผิวเป็นกระเกิดขึ้น

2.1  สาเหตุการเกิด กระ มาจากเหตุผล ดังต่อไปนี้ 

• พันธุกรรม
• ผลพวงจากแสงแดด

ข้อเท็จจริงคือถึงแม้เราจะมีกรรมพันธุ์ของการตกกระแต่ กระ ไม่สามารถขึ้นได้เลยถ้าไม่ได้รับการกระตุ้นจากแสงแดด ดังนั้น เมื่อไรที่ผิวตกกระจึงเป็นสัญญาณของความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด จำนวนขนาดและความเข้มของกระสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าความเสียหายของรังสี UV นั้นมีมากเพียงใดด้วย

 3.  โรคกระ สามารถแบ่งได้ 4 ชนิดหลักๆ ดังนี้ต่อไปนี้

3.1  กระตื้น

มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ มักพบบริเวณที่สัมผัสแดดมาก เช่น

• โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง
• จมูก

กระตื้น เกิดจากเซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนังทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้นส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรม ที่ทำให้เซลล์เม็ดสีมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ทำให้มีกระตั้งแต่ไวเด็ก ประกอบกับการสัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำโดยไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสทำให้กระเข้มขึ้น เพิ่มจำนวนมากขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นด้วย

3.2  กระลึก

มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ หรือเป็นแผ่นสีน้ำตาล เทา ดำ ขอบไม่ชัด มองเผินๆ คล้ายฝ้า มักพบบริเวณ

• โหนกแก้ม
• ดั้งจมูก ขมับทั้ง 2 ข้าง

กระลึก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีบริเวณชั้นหนังแท้ โดยจะพบตั้งแต่แรกเกิด และถูกกระตุ้นโดยรังสี UV จากแสงแดด ร่วมกับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นช่วงวัยรุ่นหรือช่วงตั้งครรภ์ จะทำให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงอายุที่มากขึ้น

3.3  กระเนื้อ

มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเข้ม พบบริเวณ

• ใบหน้า
• ลำคอ
• หน้าอก
• หลัง
• โดยอาจขึ้นเป็นตุ่มเนื้อเล็กๆ
• แล้วค่อยขยายใหญ่ขึ้น นูน
• และมีสีเข้มขึ้น

กระเนื้อ เกิดจากผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเจริญเติบโตมากผิดปกติ โดยมีตัวกระตุ้นคือ แสงแดดและอายุที่มากขึ้น โดยยิ่งมีอายุมากขึ้น ขนาดก็จะใหญ่ขึ้นและจำนวนก็มากขึ้นด้วย โดยมีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้า

3.4  กระแดด

มีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบๆ สีน้ำตาลหรือสีดำขนาดเล็ก ขอบชัด พบบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ เช่น

• ใบหน้า
• แขน
• ขา

ส่วนใหญ่เกิดในผู้ที่มีผิวขาวและมีอายุค่อนข้างมาก พันธุกรรมอาจเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระแดด เพราะผิวจะผลิตเม็ดสีเมลานินมากกว่าบุคคลทั่วไปซึ่งส่งผลให้เกิดกระ มากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ยิ่งเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ ซึ่งเป็นเซลล์ผลิตสารสีเมลานินผลิตเม็ดสีชนิดนี้เพิ่มขึ้น

4.  การรักษา  กระ สามารถทำได้ไม่ยาก

การรักษาเพื่อลบเลือนหรือกำจัดกระมีหลากหลายตัวเลือกให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย โดยสามารถปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี เพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสมถูกใจมากที่สุด

4.1 ครีมกันแดด

ถึงครีมกันแดดจะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำหรับกำจัดกระให้หายไปแบบชัดเจน แต่จะช่วยป้องกันการเกิดใหม่ ที่สำคัญสำหรับคนที่มีแนวโน้มผิวเป็นกระในครอบครัวควรที่จะเริ่มใช้ครีมกันแดดโดยเร็วที่สุดเพราะการใช้ครีมกันแดดจะช่วยทั้งรักษาและป้องกันเป็นอย่างดี

เทคนิคการใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันและรักษาผิวเป็นกระ

1. ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า
2. ทาครีมกันแดดอย่างน้อย 15 นาทีก่อนออกไปข้างนอก
3. ทาครีมกันแดดใหม่ทุกสองชั่วโมง
4. และทันทีหลังจากว่ายน้ำหรือมีเหงื่อออกมากเกินไป
5. ครีมกำจัดกระ กระสามารถทำให้จางลงได้ด้วยการใช้ครีมที่ประกอบด้วยตัวยา

• ไฮโรควินิน (Hydroquinone)
• กรดโคจิก (Kojic Acid)

ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งจ่ายยาจากแพทย์ แต่ส่วนผสมดังกล่าวต้องอยู่ในอัตราส่วน 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น วิธีนี้ให้ผลตอบสนองไม่ค่อยดีนัก

4.2  สารกลุ่มเรตินอยด์

สารนี้จะพบเป็นส่วนผสมในครีมกำจัดกระต่าง ๆ การเลือกใช้ครีมกำจัดกระอาจมองหาส่วนประกอบที่เป็นสารเหล่านี้ ได้แก่

• เทรติโนอิน (Tretinoin)
• ทาซาโรทีน (Tazarotene)
• อะดาพาลีน (Adapalene)

วิธีนี้ให้ผลตอบสนองไม่ค่อยดีนัก

4.3  การรักษาด้วยเลเซอร์

เลเซอร์หลากหลายชนิดสามารถช่วยให้รอยกระเลือนลงได้ การใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่

• ง่าย
• ปลอดภัย
• ความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นต่ำ
• ผลตอบสนองค่อนข้างดีแตกต่างกัน
• ขึ้นกับชนิดและจำนวนครั้ง

วิธีนี้เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงอย่างสีผิวไม่สม่ำเสมอได้น้อย และกลับเป็นซ้ำได้อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควรทำร่วมกับการดูแลผิวพื้นฐานและการรักษาอื่นๆ ไปพร้อมกัน

4.4  การใช้แสงผสม (Intense Pulsed Light Treatments)

วิธีนี้คล้ายกับการทำเลเซอร์แต่ใช้แสงแบบผสมแทนเลเซอร์

4.5  การผ่าตัดด้วยความเย็นจัด (Cryosurgery)

อีกวิธีในการกำจัดกระ ด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวแช่แข็ง แต่อาจมีข้อยกเว้นคือไม่สามารถรักษากระได้ทุกจุด เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ผิวที่ผิดปกติ การรักษาด้วยความเย็น

• มีความปลอดภัย
• โดยทั่วไปไม่ต้องใช้ยาสลบ
• ใช้เวลาพักฟื้นน้อย

การรักษาด้วยความเย็นไม่ค่อยทำให้เกิดแผลเป็น และผลข้างเคียงสามารถป้องกันได้ด้วยความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการค่ะ

4.6  การผลัดเซลล์ผิวหนัง (Chemical Peels) การลอกหน้าด้วยน้ำยาเคมีเพื่อทำให้กระจางลง รวมถึงส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของผิวที่ผิดปกติดีขึ้น

5.  วิธีการป้องกัน กระ ให้ได้ผลไม่กลับมาเป็นซ้ำ

นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรได้แล้ว การหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นทางเดียวที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นกระ ปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ไม่กี่ข้อดังนี้

1. เตรียมพร้อมเผชิญแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง
2. โดยเลือกครีมที่มี SPF 50 เป็นอย่างต่ำ
3. ปกป้องใบหน้าซึ่งเป็นส่วนที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ ด้วยการสวมหมวกปีกกว้าง
4. สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย เช่น

• เสื้อแขนยาว
• กางเกงขายาว

5. หลีกเลี่ยงการพบเจอแสงแดดช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น ที่มีแดดแรง
6. พยายามอยู่ในร่มหรือภายในตัวอาคาร

Dsecret clinic คลินิกรักษากระอันดับ 1

อย่างไรก็ตามถ้าคุณต้องการรักษาฝ้ากระ จุดด่างดำ ผลลัพธ์ชัดเจน คุณต้องเลือก Dsecret clinic คลินิก ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ดีที่สุด นำทีมบริหารโดย คุณกิ๊ก มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ และ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเฉพาะทาง จบ ปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ที่ลงมือดูแลคนไข้เองทุกเคสด้วยระดับมืออาชีพ การันตีด้วยประสบการณ์การรักษามากกว่า 10,000 เคส พร้อมผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความประทับใจของคนไข้จริงจนต้องบอกต่อ

• โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 14 ปี
• รักษาโดยแพทย์เฉพาะทางโดยตรง
• รักษาด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดและดีที่สุด
• เน้นที่การรักษาให้กระหายจริง
• รอยกระจางเร็วมากขึ้น
• ไม่มีผลข้างเคียง
• เห็นผลจริงแน่นอน

คุณณหมอมือเบามากถึงมากที่สุด บ่งบอกถึงความใส่ใจในทุกขั้นตอนการรักษาที่ทางคลินิกมอบให้กับคนไข้ทุกเคส การันตีได้ว่า หน้าใส ฝ้าหายแน่นอน ” เพราะเราดูแลคุณลูกค้าทุกคน เสมือนคนในครอบครัว คุณลูกค้า ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด ”

ประสบการณ์ มากกว่า 15 ปีของ พญ. มริญญา ผ่องผุดพันธ์

ประสบการณ์การทำงาน

• อาจารย์แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง
• อาจารย์แพทย์ผิวหนัง โรงพบาบาลรามาธิบดี
• แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลสมิติเวช
• แพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลกรุงเทพ

ผ่านการศึกษาจาก ( Education )

• Hair Restoration Training, Korea (2015)
• Thai Board of Dermatology, Ramathibodi Hospital (2013)
• Board of Dematopathology, Boston University, USA (2009)
• Master of Science in Dermatology, Boston University, USA (2006)
• Doctor of Medicine, Mahidol University (2001)
• Nail surgery training
• Laser expert training
• Hair expert training
• Boton university usa